ทรงพระราชสมภพ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชสมภพในราชสกุลมหิดล อันเป็นสายหนึ่งในราชวงศ์จักรี
ณ โรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์น เมืองเคมบริดจ์ มลรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา
เมื่อวันจันทร์ เดือนอ้าย ขึ้น 12 ค่ำ ปีเถาะ นพศก จุลศักราช 1289 ตรงกับวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ซึ่งเหตุที่พระราชสมภพในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากพระบรมราชชนกและพระบรมราชชนนีกำลังทรงศึกษาวิชาการอยู่ที่นั่น
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เป็นพระโอรสองค์ที่สามในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช
กรมหลวงสงขลานครินทร์ (สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
ในกาลต่อมา) และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงมีพระนามขณะนั้นว่า
พระวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลเดช
ทรงมีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช 2 พระองค์ คือ
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ซึ่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
ทรงออกพระนามเรียกพระองค์เป็นการลำลองว่า “เล็ก” พ.ศ. 2475 เมื่อเจริญพระชนมายุได้สี่พรรษา เสด็จเข้าศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอี
จนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2476 จากนั้นทรงเข้าศึกษาต่อชั้นประถมศึกษา
ณ โรงเรียนเมียร์มองต์ เมืองโลซาน
พ.ศ.
2477 เมื่อพระองค์เจ้าอานันทมหิดล
พระบรมเชษฐาธิราช เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี ก็ทรงได้รับการสถาปนาฐานันดรศักดิ์เป็น “สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุยเดช”
พ.ศ. 2488 ทรงรับประกาศนียบัตรทางอักษรศาสตร์ จากโรงเรียนยิมนาส คลาซีค กังโตนาล แล้วทรงเข้าศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยโลซาน แผนกวิทยาศาสตร์
ทรงครองราชย์
วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลเสด็จสวรรคตอย่างกะทันหัน
โดยต้องพระแสงปืน ณ พระที่นั่งบรมพิมาน สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ
เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดชได้ตัดสินพระทัยรับตำแหน่งพระมหากษัตริย์
เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ สืบราชสันตติวงศ์ในวันเดียวกันนั้น
แต่เนื่องจากยังมีพระราชกิจด้านการศึกษา จึงทรงอำลาประชาชนชาวไทย
เสด็จพระราชดำเนินไปศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยแห่งเดิม แต่เปลี่ยนสาขาจากวิทยาศาสตร์
ไปเป็นสาขาสังคมศาสตร์ นิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์
ซึ่งมีความจำเป็นสำหรับตำแหน่งประมุขของประเทศ
พระราชพิธีราชาภิเษกสมรส
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ
เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ประสูติเมื่อ 5 เมษายน 2494
ณ โรงพยาบาลมองซัวนี่ โลซานน์
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ
เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์ฯ ประสูติเมื่อ 28 กรกฏคม 2495 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ต่อมา ทรงได้รับสถาปนาเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณฯ
สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อ 28 กรกฏคม 2515
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา
กิติวัฒนาดุลนโสภาคย์ ประสูติเมื่อ 2 เมษายน 2498 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ภายหลังทรงได้รับสถาปนาเป็น
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ
สยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2520
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ
เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ประสูติเมื่อ 4 กรกฏคม 2500
ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน
ทรงผนวช
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ออกผนวชเป็นเวลา 15 วัน ระหว่างวันที่
22 ตุลาคม - 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499
ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า
กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ทรงได้รับฉายาว่า ภูมิพโลภิกขุ หลังจากนั้น พระองค์เสด็จไปประทับจำพรรษา ณ พระตำหนักปั้นหยา
วัดบวรนิเวศวิหาร ระหว่างที่ผนวชนั้น ทรงปฏิบัติพระราชกิจ
เช่นเดียวกับพระภิกษุทั้งหลายอย่างเคร่งครัด
พระราชกรณียกิจ
นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติเป็นพระประมุขแห่งประเทศไทย
เป็นต้นมา พระองค์ได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจในด้านต่างๆ อันเป็นประโยชน์แก่ชาวไทย
ตลอดพระชนมายุของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นด้านการพัฒนาแหล่งน้ำและชลประทาน
ด้านการจัดการและพัฒนาที่ดิน ด้านเกษตรกรรม ด้านการศึกษาวิจัย
ด้านการแพทย์และการสาธารณสุข ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
ด้านอาชีพเสริมและอื่นๆ ด้วยเหตุนี้โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
และโครงการตามพระราชประสงค์จึงได้เกิดขึ้นอย่างมากมายกว่า 4,000 โครงการ
ซึ่งล้วนแล้วแต่เพื่อความเป็นอยู่ของชีวิตที่ดีขึ้นของราษฎรทั้งสิ้น
ด้านพระพลานามัย
นับตั้งแต่เดือนกันยายน
2552 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเริ่มประชวร อันเนื่องมาจากพระโรคไข้หวัด
และพระปัปผาสะอักเสบ
วันที่
20 กันยายน 2552
สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์เรื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช
ฉบับที่ 1 ความว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มีพระปรอท (เป็นไข้) และมีพระอาการอ่อนเพลีย
ตลอดจนเสวยพระกระยาหารได้น้อยลง
คณะแพทย์จึงได้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จพระราชดำเนินมาเพื่อตรวจหาสาเหตุ
พร้อมกับถวายการรักษาด้วยน้ำเกลือทางหลอดพระโลหิต ร่วมกับยาปฏิชีวนะ พระอาการของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชค่อยๆ
ดีขึ้นตามลำดับ โดยสำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์อย่างต่อเนื่องอีก 34 ฉบับ
วันที่
2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์เรื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จมาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช
ฉบับที่ 36 ว่าทรงมีภาวะน้ำไขสันหลังในพระโพรงพระสมองมากกว่าปกติ
คณะแพทย์กำหนดการถวายการรักษาในคืนวันนี้ ส่วนผลการตรวจต่างๆ
ในระบบอื่นอยู่ในเกณฑ์ปกติ และพระอาการทั่วไปดี
วันที่
6 สิงหาคม พ.ศ.2557
เวลา 18.15 น. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
โดยรถยนต์พระที่นั่งจากวังไกลกังวล จ.ประจวบคีรีขันธ์ เสด็จพระราชดำเนินมายังโรงพยาบาลศิริราช
เพื่อพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้คณะแพทย์ตรวจพระวรกายตามคำกราบบังคมทูลของคณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา
การนี้ คณะแพทย์พบว่า อุณหภูมิพระวรกาย การหายพระหทัย ความดันพระโลหิต เป็นปกติ
เช่นเดียวกับพระอุระ พระปัปผาสะ (ปอด) และภาวการณ์ทำงานของพระหทัยอยู่ในเกณฑ์ปกติ
เดือนสิงหาคม – กันยายน ปี พ.ศ. 2559 สำนักพระราชวังแจ้งว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระอาการพระปัปผาสะ (ปอด) อักเสบ หายพระทัยเร็ว มีพระเสมหะมาก มีน้ำคั่งในช่องเยื่อหุ้มพระปัปผาสะ (ปอด) ปริมาณพระบังคนเบา (ปัสสาวะ) น้อย คณะแพทย์ฯ ถวายการรักษาด้วยวิธี CRRT พระโอสถปฏิชีวนะ และเฝ้าติดตามการทำงานของพระวักกะ (ไต) อย่างใกล้ชิด
วันที่
9 ตุลาคม 2559
สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์เรื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จมาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช
ฉบับที่ 37 ว่า
คณะแพทย์ผู้ถวายรักษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้รายงานว่า ในวันที่ 8 ตุลาคม 2559 คณะแพทย์ฯ
ได้ขอพระราชทานถวายใส่สายสวนเข้าหลอดพระโลหิตดำ
เพื่อเตรียมการสำหรับการฟอกพระโลหิต (Hemodialysis) ระยะยาว
และเปลี่ยนสายระบายน้ำไขสันหลังในโพรงพระสมองบริเวณบั้นพระองค์ (เอว) ตั้งแต่เวลา 14 นาฬิกาถึง 16 นาฬิกา
40 นาที ปรากฏภายหลังว่า
มีความดันพระโลหิตลดต่ำลงเป็นครั้งคราว คณะแพทย์ฯ จึงได้ถวายพระโอสถ
และได้ใช้เครื่องช่วยหายพระทัย (Ventilator) เพื่อทำให้ความดันพระโลหิตกลับสู่ระดับปกติ
จนกระทั่งเวลา
3 นาฬิกา วันนี้
มีพระชีพจรเร็วขึ้น ความดันพระโลหิตลดลง ผลการตรวจพระโลหิต
พบว่าพระโลหิตมีความเป็นกรดเพิ่มขึ้น ผลการตรวจพระหทัยด้วยคลื่นเสียงสะท้อน (Echocardiography)
พบว่ามีปริมาณพระโลหิตที่เข้าสู่พระหทัยด้านซ้ายช่องล่างลดลงมาก
อันเป็นผลจากการที่มีความดันพระโลหิตในพระปัปผาสะ (ปอด) สูง คณะแพทย์ฯ
ได้ถวายพระโอสถขยายหลอดพระโลหิตในพระปัปผาสะ (ปอด) เมื่อเวลา 15 นาฬิกา ทำให้พระชีพจรเริ่มลดลง
และความดันพระโลหิตดีขึ้น คณะแพทย์ฯ
ได้เฝ้าติดตามพระอาการและถวายการรักษาอย่างใกล้ชิด
เนื่องจากพระอาการประชวรโดยรวมยังไม่คงที่ และได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้งดพระราชกิจ
ต่อมา
ในแถลงการณ์ฉบับที่ 38 เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ความว่า
วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้รายงานว่า เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2559
ความดันพระโลหิตลดต่ำลงอีก พระชีพจรเร็วขึ้น ร่วมกับภาวะพระโลหิตมีความเป็นกรดเพิ่มขึ้นอีก
ผลของการถวายตรวจพระโลหิตบ่งชี้ว่า มีภาวะการติดเชื้อและการทำงานของพระยกนะ (ตับ)
ผิดปกติ คณะแพทย์ฯ ได้ถวายพระโอสถปฏิชีวนะและแก้ไขภาวะพระโลหิตมีความเป็นกรด
ตลอดจนถวายพระโอสถควบคุมความดันพระโลหิตเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งถวายเครื่องช่วยหายพระทัย
(Ventilator) และถวายการรักษาด้วยวิธีทดแทนไต (CRRT) พระอาการประชวรโดยรวมยังไม่คงที่ ต้องควบคุมด้วยพระโอสถ คณะแพทย์ฯ
ได้เฝ้าติดตามพระอาการและถวายการรักษาอย่างใกล้ชิด
วันที่ 13 ต.ค. 2559 สำนักพระราชวังออกประกาศเรื่อง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร สวรรคต ความว่า
“พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินไปประทับรักษาพระอาการประชวร ณ โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พุทธศักราช 2557 ตามที่สำนักพระราชวังได้แถลงให้ทราบเป็นระยะแล้วนั้น
แม้คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างใกล้ชิดจนสุดความสามารถ แต่พระอาการประชวรหาคลายไม่ ได้ทรุดลงหนักตามลำดับ ถึงวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช เวลา 15 นาฬิกา 52 นาที เสด็จสวรรคต ณ โรงพยาบาลศิริราช ด้วยพระอาการสงบ สิริพระชนมพรรษาปีที่ 89 ทรงครองราชสมบัติได้ 70 ปี”
พสกนิกรชาวไทยที่มาปักหลักถวายพระพร
ที่ศาลาศิริราช 100 ปี โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่ช่วงเช้า
ทันทีที่ได้ทราบข่าวจากแถลงการณ์สำนักพระราชวังเรื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสววรคตแล้วนั้น
บรรยากาศเป็นไปอย่างโศกเศร้า โดยหลายคนต่างสวมกอดและร้องไห้ด้วยความอาลัย นอกจากนี้
ประชาชนยังได้ร่วมกันยืนตรงและร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี และยืนสงบนิ่งเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทยมาอย่างยาวนาน
เพื่อน้อมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย