วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ปฏิหาริย์ บรมครูปู่พระพิราพ สัมผัสญาณครูครั้งแรกในวัยเด็ก






   จุดกำเนิดในการสร้างพระพิราพ ซึ่งเริ่มต้นมาจากความรักความศรัทธาที่ข้าพเจ้าได้มีต่อองค์ท่าน ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งเมื่อนับย้อนหลังไปยาวนานกว่า 40 กว่า บ้านเกิดของข้าพเจ้าอยู่ จังหวัดนครสวรรค์ บริเวณหน้าวัดหัวเมือง หรือวัดนครสวรรค์ปัจจุบัน จะเป็นย่านชุมชนคนจีนกับคนไทยอยู่ปะปนกัน เพียงแต่กลุ่มชาวบ้านคนไทย จะมีอาชีพค้าขายกับอาชีพเล่นลิเก คณะลิเกสมัยนั้นที่ดังๆ ข้าพเจ้าพอจะจำความได้ คือ คณะบุญชูแก้วสวรรค์ ไพศาล เพียงศิลป์  ส่วนคณะละครแก้บนที่ข้าพเจ้าได้ผ่านตาและดูกันบ่อยๆ คือคณะละครเรื่อง ป่าโมก แม่แอ่งศักด์ ข้าพเจ้าจะผูกพันอยู่กับพ่อแก่และเศียรครูต่างๆ มาตลอด เพราะได้เห็นได้สัมผัส เนื่องจาก คุณตาของข้าพเจ้า เป็นคนตีระนาด ปี่พาทย์มอญ ทำให้ข้าพเจ้าซึมซับสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่เด็ก สมัยก่อนคณะละครจะไปเล่นแก้บนในวัด เพราะหลวงพ่อศรีวสรรค์เป็นพระพุทธรรูปศักดิ์สิทธิ์นิยมแก้บนด้วยละ เขาจะขึงฉากใต้ต้นมะม่วง ด้านหลังจะปล่อยโล่ง ทำให้เด็กๆ ซุกซน ชอบเดินอ้อม เข้าไปดูหลังม่าน ซึ่งจะมีการตั้งหัวชฏา พระ-นาง ในวรรคดี ที่ถูกนำมาตั้งบ่อยคือ หัวแก้วหน้าม้า หัวสินสมุทธ และหัวนางยักษ์ เพราะต้องใช้แสดงบ่อย ส่วนบนแท่นเตี้ยๆ ก็จะตั้งศีรษะพ่อแก่กับศีรษะยักษ์ ซึ่งตอนนั้น ข้าพเจ้าไม่รู้ว่า คืออะไร รู้แต่ว่าเป็นหน้ายักษ์ ด้วยความชอบ บวกกับเป็นคนที่ชอบอ่านนิทานพื้นบ้าน รามเกียรติ์ตั้งแต่เด็กๆ จึง มักจะเดินเข้าไปหลังฉาก สมัยก่อนเรียกว่า หลังโรงที่จะมีม่านฉากกั้น ชอบไปนั่งดู พอนักแสดงเผลอก็ไปจับศีรษะยักษ์หมุนเล่น ทำอย่างนั้นเมื่อมีโอกาสเป็นเดือน ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง เป็นช่วงวันตรุษสงกรานต์ เดือนเมษา สมัยนั้น การเล่นสาดน้ำ อยากจะบอกว่า ลักษณะเล่นสาดกันอย่างไรในสมัยนี้ก็เหมือนเมื่อ 40 ปีที่แล้วจริงๆ  ข้าพเจ้าก็เล่นน้ำทั้งวัน พอตกตอนเย็น เกิดอาการไข้ขึ้น ถึงกับนอนซมตั้งแต่ หัววันจนถึงกลางคืน จะด้วยพิษไข้หรืออย่างไรไม่ทราบตอนนั้น สิ่งที่ข้าพเจ้าต้องต้องเผชิญและตกใจตื่นกับสิ่งที่เห็น ถึง 3 คืนติดๆ ร้องไม่ออกเหมือนอาการโดนผีอำ คือภาพในความมืด ข้าพเจ้าจะเห็นเป็นหน้าคนแก่ครึ่งตัว บอกไม่ได้ว่าเป็นหญิงหรือชาย แต่เป็นหน้าคนแก่ชัดเจน ที่สำคัญก็คือบนศีรษะของคนแก่นั้น มีหัวยักษ์ครอบไว้แต่ไม่ปิดหน้า  ซึ่งเป็นหัวยักษ์ที่ข้าพเจ้าจำได้แม่นยำว่า เป็นหัวเดียวที่คณะละครตั้งคู่อยู่กับพ่อแก่ที่ข้าพเจ้ามักจะไปนั่งขยับหมุนเล่นด้วยความซุกซนในยามที่นักแสดงเผลอ แต่ไม่คิดว่า จะมาปรากฏอยู่บนศีรษะคนแก่ลึกลับในยามวิกาลซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้และเป็นช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าป่วยเป็นไข้อยู่ด้วย
           เมื่อตื่นขึ้นมาตอนเช้า ก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง เพราะวัยเด็กก็ลืมง่าย บวกกับไม่สบาย แต่พอคืนที่สอง เอาอีก ข้าพเจ้าตกใจตื่นยามวิกาลอีก คราวนี้ข้าพเจ้าดีดตัวลุกขึ้นปลุกน้องๆที่นอนเรียงกันอยู่ข้างๆ ข้าพเจ้าตะโกนเรียกหายายกับแม่ซึ่งนอนอยู่อีกมุ้ง มุมหนึ่งของบ้าน  แม่กับยายก็เลยตกใจลุกขึ้นมาดุซะ แต่ที่แรงสุดคือคืนที่ 3 คนแก่สวมศีรษะยักษ์มาปรากฏอยู่ในมุ้งอีกแล้ว คราวนี้แรง มาขึ้นคร่อมร่างข้าพเจ้าเลย แล้วบอกว่า ทีหลังมึงอย่ามาเล่นหัวกูอีกนะ ไม่งั้นกูจะเอาให้จุกตาย คืนนั้น ทั้งคืน อาการของข้าพเจ้าเหมือนถูกผีอำแทบขาดใจ  พอรุ่งเช้าข้าพเจ้าเล่าให้แม่กับยายฟัง ส่วนตา แกอยู่อีกบ้านหนึ่ง กว่าจะเล่าให้แกฟังได้ ก็เกือบเย็น พอแกรู้แกก็บอกไม่เป็นไร ปู่มาเตือน ท่านชื่อพระพิราพ แล้วท่านก็ถามว่า ข้าพเจ้าไปซุกซนที่ไหนมา ข้าพเจ้าก็เล่าตามความจริง ว่าเคยไปเล่นหมุนหัวยักษ์หลังโรงละคร  ตาแกก็ดุเอาและสอนว่าอย่าไปเล่นหัวครูอีก หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็ต้องถูกตาขู่ว่า เอ็งต้องหัดสวดมนต์ไหว้พระ แล้วท่านก็ให้แม่กับยายไปต้มไข่เป็ดมา 3 ฟอง จากนั้น ท่านก็สอนข้าพเจ้าให้สวดขอขมา ด้วยคาถาบทแรกที่ข้าพเจ้าจำได้ขึ้นใจ ที่จะใช้สวดบูชาบรมครูปู่พระพิราพ จุดธูป 9 ดอก ถวายไข่ต้มสุก แล้วสวดด้วยพระคาถาดังนี้

 (นะโม 3 จบ) เอหิคาถัง ปิยังกาโย ทิสาปาโมกขัง อาจาริยัง เอหิ เหอิ พุทธานุภาเวนะ เอหิธัมมานุภาเวนะ เอหิสังฆานุภาเวนะ ยักษ์ขาเทวา มหาองค์พระพิราภัง สาธุ สาธุ นุภาเวนะ
นี่คือปฐมบทประสบการณ์แรกสัมผัสญาณแห่งครูพระราพของข้าพเจ้า จึงเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจที่ทำให้ข้าพเจ้า ได้ตัดสินใจสร้างพระพิราพ รุ่น นำฤกษ์ เป็นรุ่นแรก และมีเพียง 99 องค์เท่านั้น 


2 ความคิดเห็น: